เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของไทยที่เที่ยวยอดนิยมคงไม่พ้นเที่ยวภูเขา โดยเฉพาะภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายถือเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวของใครหลายคน รวมทั้งการเฉลิมฉลองในช่วงโอกาสพิเศษที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ช้างจึงได้ถือโอกาสพิเศษนี้สร้างเซอร์ไพรซ์ให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนักดื่มเบียร์ชาวไทย เปิดตัวนวัตกรรมเบียร์รูปแบบใหม่ “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เบียร์ที่จะเปิดประสบการณ์สดใหม่เฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเท่านั้น
สำหรับ “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เป็นนวัตกรรมเบียร์รูปแบบใหม่ มาพร้อมกับ 3 ความโดดเด่น ได้แก่ 1) ครั้งแรกของนวัตกรรมเบียร์ที่โดดเด่นด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่ผ่านความร้อน (Unpasteurized) เพื่อคงความหอมและสดใหม่ 2) ครั้งแรกของนวัตกรรมเบียร์ที่ผลิตด้วยกระบวนการไนโตรจิเนชัน (Nitrogenation) เพื่อให้อณูฟองที่ละเอียดและนุ่ม และ 3) ครั้งแรกของระบบการขนส่งพิเศษแบบโคลด์เชน (Cold Chain) ควบคุมอุณหภูมิให้ไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส ตลอดการขนส่งตรงจากโรงงานจังหวัดกำแพงเพชรถึงร้านอาหารและโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ภายในเวลา 4 – 6 ชั่วโมง เพื่อคงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของช้าง อันพาสเจอไรซ์ให้ถึงมือผู้บริโภค มาพร้อมขวดทรงแชมเปญพรีเมียมสีเขียว ขนาด 1.5 ลิตร สำหรับโอกาสพิเศษในทุกวัน
เพื่อฉลองความพิเศษในครั้งนี้ “ช้าง” จึงจัดงานเปิดตัว “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” ครั้งแรกของประเทศไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ความสดใหม่ ด้วยภาพลักษณ์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ ภายงานงานได้รวมความพิเศษต่างๆ ไว้ ทั้งเมนูอาหารสุดพิเศษที่รังสรรค์ออกมาในรูปแบบ Northern Fusion Fine Dining เพื่อทานคู่กับ ช้าง อันพาสเจอไรซ์ พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก “นิว–จิ๋ว” สองสาวดูโอดีวาแห่งเชียงใหม่ ที่มายกระดับความพิเศษให้กับงานเปิดตัวในครั้งนี้
สำหรับอาหารจานพิเศษเพื่อทานคู่กับ “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” ในครั้งนี้ เชฟเมย์ พัทธนันท์ ธงทอง Top Chef Thailand รวมทั้ง Executive Chef และหุ้นส่วนร้าน Maze Dining ที่ได้รับการแนะนำในมิชลินไกด์ ได้คิดค้นอาหารจานพิเศษสำหรับโอกาสพิเศษในครั้งนี้ โดยนำเมนู Signature มารังสรรค์เป็นอาหารเหนือในรูปแบบ Northern Fusion Fine Dining ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความโดดเด่นทั้ง 3 ด้านของ “ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์” ทำให้ทุกเมนูพิเศษยิ่งขึ้น โดยได้ผสานความเป็นพื้นเมืองและความทันสมัย นำเทคนิคการปรุงพิเศษ ใช้วัตถุดิบและรสชาติที่เป็นอัตลักษณ์ของภาคเหนือ ไปจนถึงรูปแบบการจัดจานและกิมมิคที่น่าประทับใจ
เริ่มต้นจานแรกด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer) ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดยได้รับแรงบันดาลใจจากกระบวนการผลิตของเบียร์ที่ไม่ผ่านความร้อน (Unpasteurized) ของเบียร์ “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เชฟจึงนำปลาทูน่าระดับพรีเมียมและเนื้อคุณภาพดี มานำเสนอในเมนู ส้าจิ้น อาหารพื้นบ้านล้านนา ในแบบฉบับ Creative cuisine เพื่อตอบโจทย์ความสดใหม่และคงรสชาติที่หอมอร่อยของวัตถุดิบได้ดีที่สุด ออกมาเป็นเมนูปลาทูน่าคลุกพริกลาบเหนือและน้ำสมุนไพร สลัดมะเขือเทศดอง และพล่าเนื้อสันในย่างคลุกพริกลาบเหนือน้ำยำสมนุ ไพรและสลัดมะเขือเทศดอง
อร่อยแบบ Fine Dining ต่อกับอาหารจานหลัก (Main Course) ที่ได้แรงบันดาลใจจากการเพิ่มกระบวนการไนโตรจิเนชัน (Nitrogenation) ของ “ช้าง อันพาสเจอไรซ์” เชฟจึงนำเสนอเมนูอาหารเหนือท้องถิ่นที่ยกระดับให้มีความประณีตขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ละเอียดอ่อนและทันสมัย ตกแต่งด้วยโฟมสมุนไพรที่สื่อถึงความนุ่มนวลของฟองและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ รับประทานพร้อมปลาแซลมอนและเนื้อซี่โครงวากิว ออกมาเป็นเมนู สเต็กปลาแซลมอนกงฟี ซอสแกงปลาไวน์ขาว เฟนเนลผัดน้ำมันมะกอก และโฟมสมุนไพร และ เนื้อซี่โครงวากิวตุ๋นเบียร์ ซอสไวน์แดง น้ำพริกข่า ผักย่าง และโฟมสมุนไพร
ปิดท้ายแบบ Perfect Dining ด้วยเมนูของหวาน (Desserts) สุดครีเอทชื่อหอมชวนดม กุหลาบเวียงพิงค์ หรือ Lanna Ispahan เมนูขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสที่ทำมาจากวัตถุดิบของไทยเป็น Ispahan เวอร์ชั่นล้านนา โดยนำดอกกุหลาบออแกนิคจากเมืองพร้าว มาผ่านการบวนการแช่ไนโตรเจนเหลว เพื่อให้เกิดความเย็น ก่อนนำมาตกแต่งลงบนจาน เสริมความ Perfect ด้วยกิมมิคที่ให้โรยกลีบกุหลาบแช่แข็งบนเมนูเพื่อทานคู่กับขนมหวาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกระบวนการขนส่งระบบ Cold Chain ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิให้ไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
จากความโดดเด่นทั้ง 3 ด้านของช้าง อันพาสเจอไรซ์ รวมทั้งความพิเศษของทั้ง 3 เมนูอาหารจากการรังสรรค์ของเชฟเมย์ รวมไปถึงมินิคอนเสิร์ตพิเศษจากสองสาวดูโอดีวา “นิว-จิ๋ว” สามารถการสร้างประสบการณ์สดใหม่ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้อย่างแท้จริง